CD-ROM เป็นคำย่อมาจาก “Compact Disc—Read Only Memory” เป็นสื่ออ๊อฟทิคัล (Optical Media) หรือสื่อแสงที่ใช้เทคโนโลยีแสง (Optical Technologies) ในการอ่านหรือบันทึกข้อมูล ที่สามารถบรรจุข้อมูล หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพกราฟิค ภาพเคลื่อนไหว และเสียง โดยผลิตได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ราคาถูก และไม่เสื่อมคุณภาพได้ง่ายนัก แผ่น CD-ROM มีน้ำหนักเบาและสะดวกในการพกพา
ความเป็นมาของ CD-ROM
ในปี 1978 บริษัทฟิลิปส์ (Philips) และโซนี่ (Sony) ได้ร่วมมือกันที่ผลิตคอมแพคดิสก์สำหรับบันทึกเสียง (ซีดี) ทั้งสองบริษัทได้ตกลงที่จะกำหนดมาตรฐานร่วมกัน
ในปี 1982 ทั้งสองบริษัทได้ประกาศมาตรฐานของคอมแพคดิสก์ รวมทั้งหลายละเอียดเกี่ยวกับการบันทึกเสียง วิธีการอ่านคอมแพคดิสก์ และที่สำคัญที่สุดคือกำหนดขนาดของคอมแพคดิสก์เป็น 4.75 นิ้ว (12 เซนติเมตร) ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (ข้อมูลเพิ่มเติม กำเนิดซีดี)
- CD-R หรือ Compact Disc-Recordable หรือแผ่นซีดี บันทึกได้หลายครั้ง และนำมาอ่านได้หลายครั้งเช่นกัน ซึ่งแตกต่างจาก CD-ROM ที่บันทึกได้ครั้งเดียว แต่สามารถนำมาอ่านได้หลายครั้ง แผ่น CD-R สามารถบันทึกข้อมูลใหม่ต่อจากข้อมูลเก่าไปเรื่อย ๆ จนเต็มแผ่น แต่เราไม่อาจจะบันทึกข้อมูลใหม่ทับบนข้อมูลเก่าได้ที่ได้บันทึกไปแล้วได้
- CD-RW หรือ Compact Disc-Rewritable เป็นแผ่นซีดีที่สามารถบันทึกทับหรือลบได้ แต่จะมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือ จะต้องใช้ในเครื่องอ่าน CD-RW เท่านั้น โดยไม่สามารถนำไปอ่านในเครื่องเล่น CD-ROM ทั่วไปเหมือนแผ่น CD-R เว้นแต่จะเพิ่มอุปกรณ์พิเศษเข้าไป
ประเภทของซีดีรอม
เมื่อดูจากสภาพภายนอกจะเห็นว่าซีดีรอมแต่ละแผ่นมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แต่แท้ที่จริงนั้นซีดีรอมแบ่งออกได้หลายประเภท การแยกประเภทของซีดีรอมนั้น แยกตามข้อกำหนดของหนังสือที่ระบุเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตสื่อเก็บข้อมูลซีดีรอม เช่น Yellow CD หมายถึง ซีดีรอมที่ถูกผลิตตามข้อหนังสือหน้าปกสีเหลือง เป็นต้น
ปัจจุบันแบ่งประเภทของซีดีรอมออกได้หลายประเภท ตามสีของหน้าปกหนังสือที่กำหนดลักษณะของซีดีรอม ดังต่อไปนี้
- Yellow CD หรือ DATA Storage CD
- Red CD / Audio CD
- CD-ROM XA หรือ Multi-session CD หรือ ISO 9660
Mixed Mode CD
Yellow CD หรือเรียกว่า DATA Storage CD
เป็นที่รู้จักกันในชื่อของซีดีรอมประเภทที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data CD) มักพิมพ์คำว่า Data Storage บนแผ่น แผ่นซีดีรอมประเภทนี้ถูกนำมาเก็บข้อมูลที่คอมพิวเตอร์อ่านได้ ข้อมูลจะถูกบันทึกเป็นแนวเกลียว (Spiral) จากวงรอบ (Track) ส่วนในของแผ่นไปยังวงรอบส่วนนอก ข้อมูลจะถูกเขียนครั้งละหนึ่งบิตตามลำดับ. โครงสร้างของการบันทึกข้อมูลทางตรรกะ (Logical Format) ข้อมูลจะถูกบันทึกในลักษณะของแผนภูมิต้นไม้ (Tree) และไดเรคทอรี่ (Directory) และไฟล์ ซึ่งคอมพิวเตอร์เข้าใจ
การใช้งาน DATA-CD
- ใช้เก็บข้อมูล
- สำหรับสำรองข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ หรือจากสื่อบันทึกข้อมูลชนิดอื่นๆ
- สำหรับทดสอบบันทึกข้อมูลก่อนที่จะส่งแผ่นซีดีไปเป็นมาสเตอร์
- สำหรับการบันทึกข้อมูลเพื่อใช้งานภายในสำนักงาน
Red CD / AudiO CD
รู้จักกันแพร่หลายในชื่อของ Audio CD หรือคอมแพ็คดิสก์ คือแผ่นซีดีรอมที่มีไว้สำหรับฟังเพลง ซึ่งประกอบด้วย Track ของ Digital Audio ที่ถูกบันทึกลงไปใน Compact Disc - Digital Audio (CD-DA) รูปแบบการเก็บข้อมูลเพลงเป็นรูปแบบสากล คือนำไปใช้ได้ทั่วโลกและใช้ได้กับหลายๆ สื่อ CD-DA แผ่นหนึ่งมี Track ได้ 99 Track
CD-ROM XA หรือ Multi-session CD
Multi-session CD คือซีดีรอมที่ถูกผลิตตามมาตรฐาน ISO 9660 ข้อมูลในซีดีรอมจะมีมากกว่า 1 session หนึ่ง session คือการบันทึกข้อมูลต่อเนื่องกันหนึ่งส่วน เมื่อปิด Session ดังกล่าว และเปิด Session ใหม่ ข้อมูลก็จะถูกบันทึกโดยไม่ต่อเนื่องกับ session เดิม ทำให้ใช้ประโยชน์จากซีดีรอมแบบ Multi-session ในการ Update ข้อมูลหรือบันทึกข้อมูลเพิ่มเติม
ปกติซีดีรอม 1 แผ่น มีได้ 48 session อย่างไรก็ตาม Multi - Session CD ใช้งานได้ก็ต่อเมื่อใช้กับไดรฟ์ที่สามารถอ่านข้อมูลแบบ Multi - Session ได้
ประโยชน์จากการใช้ซีดีรอมแบบ Multi - Session
- การสำรองข้อมูลที่มีขนาดใหญ่
- สำหรับใช้ในการทำข้อมูลที่ต้องการแจกจ่ายเมื่อมีการอัปเดทข้อมูล
ซีดีรอมที่ออกแบบผสมกันระหว่าง Data และ Audio
ปกติ CD-DA จะถูกบันทึกข้อมูลที่เป็นส่วนของ audio และใช้งานกับเครื่องเสียงภายในบ้านหรือเครื่องเสียงติดรถยนต์รวมทั้งคอมพิวเตอร์ได้
แผ่นซีดีแบบ Mixed Mode นั้นถูกผลิตให้มีทั้ง DATA และ Audio ในแผ่นเดียวกัน เมื่อต้องการรวมเอาข้อความ ภาพกราฟิกและเสียงเข้าไปในซีดีรอม ข้อมูลดังกล่าวจะถูกบันทึกในส่วนของ Data Track และข้อมูล Audio จะถูกบันทึกไว้ในส่วนของ CD-DA ซึ่งในกรณีนี้ทำโดย 2 วิธี
- Mixed Mode
- CD Extra
Mixed Mode
Classic Mixed Mode หรือ Mixed Mode ยุคเบื้องต้นนั้นคือแผ่นซีดีรอมที่มีข้อมูลใน Track แรก ตามด้วย Audio ใน Track ต่อไปอีกหนึ่ง Track หรือหลายๆ Track โดยบรรจุใน session เดียว Mixed-Mode CD ใช้งานได้ดีกับคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาบางประการเกี่ยวกับ Classic Mixed Mode เนื่องจากหากบังเอิญว่าข้อมูลใน Track แรกนั้นนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ แต่กรณีนี้บรรดาเครื่องเล่นซีดีของชุดเครื่องเสียงจะไม่สามารถใช้งานได้ ตรงกันข้ามอาจเกิดความเสียหายได้ เพราะใน Track ของข้อมูลซึ่งเป็น Track แรกนั้นคำนวณไม่ได้ว่าปริมาณสัญญาณที่ถูกส่งออกมานั้น อาจจะมากขนาดที่ทำให้ลำโพงเสียหายได้ ถึงแม้ว่าเครื่องเล่นซีดีบางตัวจะสามารถตรวจจับ CD-track และอ่านข้ามไป แต่โดยปกติเครื่องเล่นซีดีจะไม่มีฟังก์ชั่นนี้ บรรดาผู้ผลิตเครื่องเล่นซีดีที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการใช้งานซีดีรอมประเภทนี้ต่างก็กลัวปัญหา และเริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ นั้นก็คือ CD Extra
CD Extra
CD Extra หรือที่รู้จักกันในชื่อของ CD Plus หรือ Enhance CD เป็นวิธีการแก้ปัญหาเมื่อผู้ผลิตซีดีรอมต่างก็มองเห็นว่าผู้ผลิตไดรฟ์ซีดีรอมปัจจุบันผลิตแต่ไดรฟ์ที่สามารถอ่านข้อมูลแบบ Multi-Session หมดแล้ว
CD Extra จะประกอบด้วย 2 session session แรกเป็น CD-DA ที่สามารถมีได้ถึง 98 Track ประกอบด้วย Audio Track และ session ที่สองเป็น Data Track ซึ่งถูกเขียนในรูปแบบของ CD-ROM XA
เมื่อเอาแผ่นซีดีที่เป็น CD Extra มาใช้กับเครื่องเล่นซีดี session แรกที่เป็นส่วนของ Audio จะถูกนำมาเล่นแต่เครื่องเล่นซีดีจะไม่อ่านข้อมูลที่อยู่นอกเหนือจาก Session แรก ดังนั้นส่วนของ Data Track จึงไม่ถูกเล่นในเครื่องเล่นซีดี
เมื่อนำเอาซีดีรอมดังกล่าวมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยปกติเครื่องคอมพิวเตอร์จะอ่าน session สุดท้ายก่อน ดังนั้นตัวของ Data จึงถูกอ่านในครั้งแรก
คุณลักษณะของ CD Extra ถูกระบุไว้ใน Blue book Standard อย่างไรก็ตามในข้อระบุของ Blue Book Standard ไม่ได้กำหนดว่าซีดีรอมที่จะถูกผลิตภายใต้มาตรฐานจำเป็นต้องเป็นซีดีรอมแบบ Multi - Session
คุณสมบัติทางกายภาพ
รูปทรง
ลักษณะของแผ่น มีลักษณะเป็นแผ่นพาสติกแบนกลมเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 4.75 นิ้ว (12 เซนติเมตร) หนา 1.2 มิลลิเมตร และมีรูกลมตรงกลางเรียกว่า “Hub” ขนาด 15 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 14 กรัม (0.5 ออนซ์)
- ชั้นล่างเป็นชั้นหนาสุดทำด้วยพาสติก Polycarbonate ซึ่งเป็นพาสติกที่ใช้ทำกระจกกันกระสุน
- ชั้นที่สอง เป็นชั้นของการบันทึกซึ่งมีลักษณะเป็นหลุมเล็ก ๆ เรียกว่า “Pits” หลุมนี่มีขนาดเล็กมากและมีความลึกประมาณ 1/1000 ของชั้นพาสติกเท่านั้น แต่ละหลุมมีความกว้าง 0.5 ไมครอน บนแผ่นซีดีรอมหนึ่งแผ่นจะมีหลุมนี้อยู่ประมาณ 2.8 พันล้านหลุม
- ชั้นที่ 3 ซึ่งอยู่เหนือชั้นของ Pits จะเป็นชั้นบาง ๆ ของโลหะที่เคลือบอยู่เรียกว่า Evaporated Reflective Metal Layer ส่วนใหญ่จะใช้อลูมิเนียม
- ชั้นที่ 4 เป็นชั้นปิดผนึกทำด้วยพาสติก เพื่อป้องกันรอยขูดขีดต่าง ๆ เรียกว่า Plastic Protective Coating
- ชั้นบนสุด เป็นชื่อแผ่นหรือข้อความกำกับแผ่นโดยการทำซิลค์สกีนลงบนชั้นปิดผนึกนั้น
รูปแบบการเก็บข้อมูล
- รูปแบบการเก็บข้อมูลมีลักษณะการแบ่งพื้นที่ดิสก์ก็ยังคงเป็นแทร็กและเซกเตอร์ แต่เป็นเซกเตอร์ที่มมีขนาดเท่ากันทุกเซกเตอร์ และไม่ได้ใช้เส้นรัศมีจากจุดกึ่งกลางดิสก์จำเป็นต้องใช้มอเตอร์ที่หมุนได้หลายความเร็ว เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลคงที่สม่ำเสมอทุกเซกเตอร์ ทั้งเซกเตอร์ที่อยู่รอบนอกและวงใน(constant linerar velocity) ด้วยวิธีการเก็บข้อมูลชนิดนี้ ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับดิสก์ที่ใช้สารแม่เหล็ก
- ลำแสง laserจะทะลุผ่านชั้นพลาสติก และถูกสะท้อนกลับโดยชั้นโลหะอะลูมิเนียมบาง ๆ ที่อยู่ลึกลงไปภายในดิสก์
- ผิวเหน้าของดิสก์จะเป็นหลุมเป็นย่อ ส่วยที่เป็นหลุมลงไปเรียกว่า แลนด์ (Land) เป็นบริเวณที่แสงจะทะลุลงแผ่นอลูมิเนียมบาง ๆ ได้ สำหรับบริเวณที่ไม่มีมีการเจาะลึกลงไปเรียกว่า พิต ( pit) ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 0 และ 1
- แสงเมื่อถูกพิต จะกระจายหายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนด์จะสะท้อนกลับผ่ายแท่งปริซึ่ม จากนั้น หักเหผ่านแท่งปริซึ่มไปยังตัวตรวจจับแสง( light-sensing diode) อีกที
- ทุก ๆ ช่วงของลำแสงที่กระทบกันตัวตรวจจับแสง จะกำเหนิดแรงดันไฟฟ้าเล็ก หรือเกิด 1 และ 0ที่ให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้นั่นเอง
การอ่านข้อมูล
ข้อมูลที่บันทึกบนแผ่น CD-ROM จะอยู่ในด้านล่างของแผ่น เมื่อนำแผ่น CD-ROM หรือแผ่นซีดีเพลงมาใส่ในหน่วยขับจึงต้องใส่ด้านหน้าที่มีป้ายฉลากหงายขึ้นด้านบน มอเตอร์ของหน่วยขับจะหมุนแผ่นซีดี ที่อยู่บนแกนหมุนในขณะเดียวกันเลื่อนซึ่งบรรจุหัวอ่านแสงของหน่วยขับจะ เคลื่อนไปเล็งตรงร่องบนแผ่น หัวอ่านจะยิงแสงจากที่รวมแสงเลเซอร์ไปยังแผ่นซีดี ข้อมูลบนแผ่นจะเกิดจากหลุมที่อยู่บนแผ่น Photosensitive Detector ในหัวอ่านจะวัดความเข้มของแสงที่สะท้อนออกมา ทำให้เกิดการแปลความหมายเป็นข้อมูลของเสียง ภาพ หรือตัวอักษร บนจอคอมพิวเตอร์
ความเร็วการถ่ายโอนข้อมูล
ในปัจจุบันนี้ ความเร็วในการถ่ายข้อมูลมีถึง 52x แล้ว เมื่อวัดประสิทธิภาพการทำงาน ถามว่า 20x มีประสิทธิภาพการทำงานเป็น 2 เท่า ของ 10x หรือไม่ คำตอบก็คือไม่ ความเร็วการถ่ายข้อมูลที่ 20x จะมีอัตราการโอนถ่ายข้อมูลถึง 2.4 Mbps แต่ถ้าพิจารณาที่ระยะเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (access time) ขนาดของบัฟเฟอร์ ซึ่งมีขนาดไม่แตกต่างกัน และอินเทอร์เฟซของไดรฟ์ เมื่อพิจารณารวมแล้ว ประสิทธิภาพรวมเพิ่มขึ้นแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของ 10x เท่านั้นเอง และความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลจะเห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจนเมื่อมีการถ่ายเทข้อมูลขนาดใหญ่เท่านั้น เช่น ฐานข้อมูล หรือเกมส์ ส่วนไฟล์ขนาดเล็กๆ นั้นยังไม่ได้ประโยชน์จากการเพิ่มความเร็วในการโอนย้ายข้อมูลของไดรฟ์ซีดีรอมความเร็วสูงแต่อย่างไร ส่วนของอินเทอร์เฟซ (Interface) นั้น โดยปกติแล้วไดรฟ์ซีดีรอมแบบ SCSI จะมีประสิทธิภาพดีกว่า ATAPI (IDE) เพราะ SCSI ใช้ Bus Mastering บนการ์ด SCSI (SCSI Controller Card) ไม่ต้องพึ่งพา Controller บนเมนบอร์ด ส่วน ATAPI ยังต้องพึ่งพา Controller บนเมนบอร์ดทำให้เพิ่มภาระ (โหลด) ให้ซีพียู มีผลให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลลดลง
เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล
เมื่อก่อนนั้นการหมุนของมอเตอร์เพื่ออ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอมใช้เทคนิค CLV (constant linear velocity) คือ อัตราการหมุนแผ่นซีดีรอมจะแปรเปลี่ยนขึ้นกับบริเวณที่ข้อมูลในซีดีรอมถูกอ่าน สำหรับไดรฟ์ซีดีรอมความเร็วสูงๆ ถ้าใช้เทคนิค CLV จะให้การโอนถ่ายข้อมูลกรณีที่มีการอ่านข้อมูลบริเวณแทร็คใน (โครงสร้างแท้จริงไม่ได้เป็นวง (track) แต่มีลักษณะคล้าย Spiral คือเกลียว) จะไม่เร็วเท่ากับ 20x จริงๆ ผู้ผลิตเลยใช้เทคนิคแบบ CAV ( Constant Angular Velocity) ปกติหากมีการอ่านข้อมูลแทร็คนอกๆของแผ่นซีดีรอม หัวอ่านแสงเลเซอร์จำเป็นต้องตรวจจับข้อมูลเป็นพื้นที่กว้างมากกว่าการอ่านบริเวณแทร็คใน นั่นก็คือจะสูญเสียอัตราคงที่และความแม่นยำเมื่อมีการอ่านข้อมูลจากแทร็คนอก หากใช้เทคนิคแบบ CLV นั้นความเร็วในการหมุน ของซีดีรอมจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ขึ้นอยู่กับว่าการอ่านข้อมูลในขณะนั้นๆ อ่านบริเวณใดของแผ่นซีดีรอม การที่ต้องเปลี่ยนความเร็วในการอ่านเนื่องจากต้องการรักษาความคงที่ของการถ่ายเทข้อมูล
ส่วน CAV นั้นแผ่นซีดีรอมถูกหมุนด้วยความเร็วเชิงเส้นคงที่ ข้อดีคือไม่ต้องเปลี่ยนความเร็วในการหมุนของมอเตอร์ เพราะการเปลี่ยนความเร็วมีผลให้การอ่านข้อมูลหยุดชะงัก แต่ CAV จะทำงานได้มีประสิทธิภาพนั้นแผ่นซีดีรอมที่นำมาใช้งานควรมีข้อมูลที่แทร็คนอกด้วยถ้าซีดีรอมนั้นมีข้อมูลเฉพาะแทร็คในๆ ของแผ่นจะไม่สามารถเห็นประโยชน์จาก CAV ได้มากนัก และยังทำให้การถ่ายเทข้อมูลช้าลงด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้มีการนำทั้งสองเทคนิคมารวมกันและเรียกไดรฟ์ซีดีรอมที่เกิดจากการเอาสองเทคนิคมารวมกันว่าไดรฟ์ซีดีรอมแบบ Partial Angular (p-angular)
เปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของ CAV กับ partial - CAV
- จากการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างไดรฟ์แบบ P-CAV (Philips PCA242CD/M2) พบว่าจะให้ประสิทธิภาพการอ่านข้อมูลแบบ Sequential ดีกว่า แต่ถ้าหากเป็นการอ่านข้อมูลแบบสุ่ม (Random) ไดรฟ์แบบ CAV จะให้ประสิทธิภาพดีกว่า
- ความคงที่ของอัตราการถ่ายเทข้อมูล หากเป็นการอ่านแบบลำดับ (Sequential) พบว่า P-CAV มีอัตราการโอนย้ายข้อมูลเมื่ออ่านข้อมูลบริเวณแทรคนอกๆ ของซีดีรอมมากกว่าแทรคในๆ ในขณะที่ CAV ให้อัตราการโอนย้ายเกือบเท่ากันตลอดทั้งแผ่น
- การอ่านข้อมูลแบบสุ่ม (Random) ทั้ง p-CAV และ CAV ให้ประสิทธิภาพแตกต่างกัน CAV ให้ประสิทธิภาพดีกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลาปรับความเร็วของมอเตอร์ ขณะที่ p-CAV ต้องเสียเวลาในการปรับ นอกจากนี้พบว่าความเร็วในโอนย้าย ยังแตกต่างไปตามแต่ขนาดของ Block ของข้อมูลที่จะอ่านด้วย
การดูแลรักษา CD-ROM
ผิวของแผ่นซีดีเป็นผิว Optical ซึ่งต้องผ่านลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็ก โดยผ่านจากชั้นโลหะที่อยู่ภายใต้พาสติก (ซึ่งเป็นส่วนที่เก็บข้อมูล) และลำแสงจะสะท้อนกลับไปเข้าตัวรับ ฝุ่น รอยขีดข่วน รอยนิ้วมือ และความผิดปกติอื่น ๆ จะรบกวนการอ่านข้อมูลบนแผ่นดิสก์
การจับแผ่น CD-ROM
การนำแผ่นออกจากกล่องซีดี คือเมื่อเปิดฝากล่องแล้วควรใช้นิ้วหัวแม่มือกดซี่พาสติกกลางกล่องและนิ้วกลางจับขอบแผ่นเพื่อดึงแผ่นออกมา ไม่ควรดึงแผ่นออกจากกล่องโดยการจับขอบแผ่นทั้ง 2 ข้างแล้วดึงออกโดยไม่กดซี่กลางกล่องเพราะจะทำให้แผ่นอยู่ในลักษณะงอนอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้รอยนิ้วมือปรากฏบนแผ่น ควรจับแผ่นเฉพาะขอบแผ่นหรือ จะจับตรงรูตรงกลางและขอบแผ่นก็ได้
การวางแผ่น: ต้องเอาหน้าขึ้นเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนหรือเปื้อนฝุ่น
การเก็บรักษา
ควรเก็บให้ห่างจากแสงแดด ความร้อน ความชื้น และความเย็นจัด ควรเก็บไว้ในกล่องเหมือนตอนที่ซื้อมา ซึ่งอาจจะเป็นกล่องหรือซองพาสติก แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการเก็บใน “CD Muffin” หรือ “Jewel Case” ซึ่งเป็นกล่องพาสติกแบนเพื่อป้องกันรอยขูดขีดหรือฝุ่นละออง
การทำความสะอาด
ถ้ามีคราบสกปรกบนแผ่น ให้ใช้น้ำหรือน้ำยาเฉพาะสำหรับล้างแผ่นซีดีหรือน้ำยาทำความสะอาดเลนส์ ก็ได้ ห้ามใช้สารละลายต่าง ๆ เป็นอันขาด แล้วใช้ผ้านุ่มสะอาด ๆ เช็ดจากส่วนกลางออกไปยังขอบแผ่น และไม่ควรเช็ดในลักษณะวงกลม
น้ำยาขัดแผ่นซีดี
มีน้ำยาขัดหลายชนิดสำหรับลบรอยขีดข่วน หาได้ตามร้านเครื่องเสียง
- น้ำยาขัดโลหะ น้ำยาขัดโลหะอย่าง Brasao ก็สามารถใช้ในบางกรณีเมื่อถึงคราวจำเป็นด้วยผ้านุ่ม ๆ เพื่อขจัดความเสียหายของพื้นผิด
- ยาสีฟัน ยาสีฟันโดยเฉพาะชนิดที่ช่วยให้ฟันขาว สามารถใช้ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อกับความเสียหายมากๆ ใช้นิ้วมือกับยาสีฟัน ปริมาณเล็กน้อยถูรอยขีดข่วนออกไปแล้วใช้น้ำล้างออก
แหล่งข้อมูล: ITtalk, mahidol.ac.th, เรือนไทยคอมพิวเตอร์